ASTON MARTIN สปอร์ตสุดหรู เอกลักษณ์แห่งผู้ดีอังกฤษ ที่มาพร้อมกับความเรียบหรูดูดี ในสไตล์ผู้ดีอังกฤษที่มาพร้อมกับขุมพลังที่เทียบเท่ากับรถแข่งชั้นนำในสนามแข่งระดับโลก
จุดเริ่มต้นแอสตัน มาร์ติน
ส่วนจุดเริ่มต้นของ Aston Martin นั้นเริ่มต้นมาตั้งแต่ในปี 1913 เมื่อไลโอเนล มาร์ติน (LIONEL MARTIN) เจ้าของอู่ซ่อมรถในย่านเคนซิงตัน กรุงลอนดอน กับโรเบิร์ท แบมฟอร์ด (ROBERT BAMFORD) นักธุรกิจที่สนใจในเรื่องรถยนต์ ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทขนาดเล็กขึ้นด้วยเงินทุน 1,000 ปอนด์ โดยรถยนต์คนแรกที่ผลิตขึ้นมานั้นเป็นรถสปอร์ตขนาดเล็ก ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์แบบโคเวนทรีไคลแมกซ์ (COVENTRY-CLIMAX) ส่วนตัวถังภายนอกเป็นของรถฮีสปาโน-ซุยซา (HISPANO-SUIZA) ซึ่งถือว่าเป็นรถรุ่นแรกที่ประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม จนต่อมาทั้งคู่ได้ทำการคิดค้นและพัฒนารถสปอร์ตออกมาจำหน่ายในท้องตลาด โดยใช้ชื่อ ASTON MARTIN ซึ่งทันทีที่ออกมาก็ได้รับผลตอบรับจากดีเยี่ยม
จุดพลิกผันของ ASTON MARTIN
แต่ถึงแม้ว่า ASTON MARTIN ในยุคนั้นจะถูกพูดถึงในด้านของการเป็นรถแข่งที่เป็นที่รู้จักกันดี แต่ต่อมาบริษัทประสบภาวะขาดทุนจนล้มละลายและถูกขายเปลี่ยนมือไป พอสงครามโลกครั้งที่สองปิดตัวลงกิจการของ ASTON MARTIN ก็เปลี่ยนมือไปอยู่ในการครอบครองของเดวิด บราวน์ (DAVID BROWN) เจ้าของกิจการผลิตรถแทรคเตอร์ที่ต่อมาภายหลังได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นท่านเซอร์จึงได้ทำการควบรวมกิจการรถยนต์อีกรายหนึ่งที่ชื่อ ลากอนดา (LAGONDA)มารวมกับ ASTON MARTIN เป็นแอสตัน มาร์ติน ลากอนดา (ASTON MARTIN LAGONDA) และยังใช้ชื่อนี้มาจนกระทั่งปัจจุบัน
กระแสความรู้จักทั่วโลก
จุดที่ทำให้รถยนต์อย่าง ASTON MARTIN กลายเป็นรถยนต์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมไปทั่วโลกนั่นก็คือการได้เข้าร่วมฉากภาพยนต์ในฐานะรถสปอร์ตคู่ใจของสายลับ 007 หรือเจมส์บอนด์หลายต่อหลายภาค จนทำให้ชื่อของ ASTON MARTIN ได้ขยับฐานะเป็นรถสปอร์ตที่หรู ดูดี มีระดับจนกลายเป็นรถยนต์ที่คนทั่วโลกล้วนใฝ่ฝันหา
ก้าวต่อไปของ ASTON MARTIN
ตั้งแต่ปี 1986 เป็นต้นมา ASTON MARTIN LAGONDA เป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ในเครือของฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนีประเทศสหรัฐอเมริกา และได้มีการพัฒนารูปแบบ รูปลักษณะและสมรรถนะของรถตามกรอบแนวคิด Brand Philosophy – Power Beauty and Soul ที่ต้องการให้ผู้ขับขี่รู้สึกได้ถึงสมรรถนะที่ดีเยี่ยมเมื่อเดินทางบนท้องถนนไม่ต่างกับการขับในสนามแข่งรถ ในปัจจุบัน ASTON MARTIN ได้มีการพัฒนารูปแบบสมรรถนะของรถด้วยการนำเปลี่ยนรูปแบบของเครื่องยนต์จาก V12 มาเป็นเครื่องยนต์แบบ Rapide E ขนาดเครื่องยนต์ 800 แรงม้า วิ่งได้ไกลถึง 320 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้งโดยจะใช้ ขุมพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าและมีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่า