เพราะแสงแดดประเทศไทยนั้นแรงยิ่งกว่าอะไร แค่ออกแดดไม่ทันไรผิวก็เกือบไหม้แล้ว จึงจำเป็นต้องทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง กับรถยนต์ก็เช่นกัน ที่จำเป็นต้องมี ฟิล์มกรองแสง เพื่อช่วยป้องกันแสงแดดเข้าสู่รถยนต์ และช่วยลดอุณหภูมิความร้อนที่เข้ามาภายในรถนั่นเอง วันนี้ masii เลยได้นำความรู้ดีๆ เกี่ยวกับ การติดฟิล์มรถยนต์ มาฝาก ไปดูกันสิว่า ควรเลือกฟิล์มกรองแสงอย่าง ความเข้มกี่เปอร์เซนต์ถึงจะดี
ติดฟิล์มรถยนต์ เลือกฟิล์มกรองแสงอย่างไร ความเข้มเท่าไรถึงจะดี?
ฟิล์มรถยนต์ หรือ ฟิล์มกรองแสงรถยนต์ นั้นมีคุณสมบัติช่วยลดความร้อน ช่วยกรองแสง และรังสี UV โดยสีและความเข้มของฟิล์มกรองแสงนั้นมีผลต่อคุณสมบัติในการกรองแสงเข้ามาในรถ ดังนั้นเวลาที่เราจะเลือกฟิล์มกรองแสง จะต้องเลือกฟิล์มกรองแสงที่จะช่วยลดรังสีอินฟาเรดแล้วก็แสงสว่างด้วย เพราะถ้าฟิล์มกรองแสงลดพลังงานอินฟาเรดได้เยอะ นั่นแปลว่าจะช่วยลดพลังงานความร้อนได้เยอะเหมือนกันนั่นเอง
ฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์ 4 ประเภท
โดยทั่วไป ฟิล์มรถยนต์ นั้นสามารถแบ่งเป็นประเภทย่อยๆ ได้อีก 4 ประเภท ดังนี้
1. ฟิล์มปรอท, ฟิล์มเคลือบโลหะ
ฟิล์มปรอท ฟิล์มเคลือบโลหะ หรือฟิล์มลดความร้อน ตัวฟิล์มจะคล้ายกระจกเงา ซึ่งคนข้างนอกจะมองเข้าไปในตัวรถไม่ได้เลยในเวลากลางวัน แต่ถ้าตอนกลางคืนจะสามารถมองเข้าไปได้ ฟิล์มชนิดนี้จะมีคุณภาพในการลดความร้อนตั้งแต่ 35-90% รวมถึงป้องกันรังสีต่างๆ อายุการใช้งานของผิล์มชนิดนี้จะอยู่ที่ 3-7 ปี ส่วนราคาจะอยู่ที่ 2,000-5,000 บาท
2. ฟิล์มอินฟราเรด (Infrared Film)
เป็นฟิล์มที่เคลือบสารเคมีพิเศษเข้าไป เพื่อทำการตัดรังสีอินฟราเรด ซึ่งฟิล์มชนิดนี้เป็นฟิล์มที่สามารถกันความร้อนได้ดีที่สุด แต่ก็เป็นฟิล์มที่มีราคาสูงมากเช่นเดียวกัน
3. ฟิล์มนิรภัย (Safety Film)
เป็นฟิล์มชนิดที่มีความหนาตั้งแต่ 4 MIL ขึ้นไป (1 MIL = 1/1,000 นิ้ว) มีทั้งชนิดลดความร้อน และไม่ลดความร้อน ซึ่งฟิล์มชนิดนี้จะทำการยึดเกาะแผ่นกระจกให้คงรูปมากที่สุด และยังจะช่วยซับแรงจากการกระแทกได้อีกด้วย
4. ฟิล์มใสนาโน
เป็นฟิล์มที่แสงสามารถส่องผ่านได้มากที่สุดถึง 60% แต่ก็เป็นฟิล์มที่ช่วยลดความร้อนได้สูง ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับวัสดุที่นำมาผลิต ซึ่งฟิล์มชนิดนี้ส่วนมากมักจะราคาที่ค่อนข้างสูง
ติดฟิล์มรถยนต์ กี่เปอร์เซ็นต์ดี
สำหรับ เปอร์เซ็นต์ ที่ใช้เรียกกันนั้น คือ เปอร์เซ็นที่แสงสามารถส่องผ่านเข้ามาได้ คำว่า 40, 60 ,80 เป็นภาษาที่ใช้เรียกตามระดับความเข้มของฟิล์ม โดยแต่ละยี่ห้อก็จะมีค่ากำหนดที่แตกต่างกันไปตามแต่ละบริษัทฯ จะออกแบบมา ซึ่งพออธิบายได้ง่ายๆ ดังนี้
- ฟิล์ม 40% คือ ฟิล์มที่มีค่าของแสงส่องผ่านได้ประมาณ 35% ขึ้นไป เช่น ตัวเลขที่ระบุบนเนื้อฟิล์มเช่น APL35N, POP35N, APL45NX, L80BL ฯลฯ
- ฟิล์ม 60% คือ ฟิล์มเข้มที่มีค่าของแสงส่องผ่านได้ประมาณ 20% เช่น ANL20N, ARL20C, ARL20BX, L20N, POP20N ฯลฯ
- ฟิล์ม 80% คือ ฟิล์มเข้มที่สุดที่มีค่าของแสงส่องผ่านได้ประมาณ 5% เช่น ARL05C, ANL05N, POP05C, L05 Digital CTX ฯลฯ
เพราะแสงแดดเมืองไทยนั้นมีความเข้มข้นสูง อีกทั้งยังมีรังสีต่างๆ ที่เป็นอันตรายต่อผิวหนัง ในการติดฟิล์มรถยนต์ และการเลือกฟิล์มกรองแสงรถยนต์นั้น จึงต้องคำนึงถึงปัจจัยหลายอย่าง เช่น งบประมาณ คุณภาพ แต่อย่างไรก็ดี ควรเลือกฟิล์มรถยนต์ที่เหมาะสมกับรถยนต์ รวมไปถึงลักษณะการใช้งาน ที่สำคัญควรคำนึงถึงความปลอดภัยในการขับขี่ มองเห็นถนนหนทางได้ชัดเจนสำหรับคนขับและรถยนต์คันอื่น
สนใจสมัครประกันภัยรถยนต์
เมื่อได้ทราบกันไปแล้วเกี่ยวกับการติดฟิล์มรถยนต์ และการเลือกฟิล์มกรองแสงรถยนต์ ทางที่ดีควรเลือกฟิล์มรถยนต์ที่มีคุณภาพ และควรเลือกศูนย์ติดฟิล์มรถยนต์ที่ได้รับมาตรฐาน และไม่เพียงแต่ฟิล์มรถยนต์จะจำเป็นกับรถยนต์ของเราแล้ว ก็ยังต้องมี ประกันภัยรถยนต์ ด้วยนะ เพื่อความอุ่นใจในการขับรถนั่นเอง หากใครสนใจ คลิกที่นี่ หรือโทร 02 710 3100 หรือแอด LINE: @masii (มี @ ด้วยนะ) สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้เลยค่ะ
________________________
Please become Masii Fan
Facebook: www.facebook.com/MasiiThailand
Website: www.masii.co.th
Line : @masii
Tel: 02 710 3100
Youtube: https://www.youtube.com/channel/UCV-5rpO5ZqAGfgLdKqzKGFw
Instagram: www.instagram.com/masii_thailand/
Twitter: twitter.com/MasiiGroup
#บัตรเครดิต #สมัครบัตรเครดิตออนไลน์ #ทำบัตรเครดิต #บัตรเครดิตใบแรก
#สินเชื่อส่วนบุคคล #บัตรกดเงินสด
#สินเชื่อส่วนบุคคลออนไลน์ #กู้เงิน
#ประกันภัยโดรน #ประกันโดรน #ลงทะเบียนโดรน #ขึ้นทะเบียนโดรน #Dronethailand
#ประกันรถยนต์ #ประกันรถยนต์ชั้น1 #สมัครประกันรถยนต์ #ประกันรถที่คุ้มที่สุด
#masii #มาสิ #ครบง่ายสะดวก #เพื่อความสุขในชีวิตที่ดีกว่า
#ครบง่ายสะดวกเพื่อความสุขในชีวิตที่ดีกว่า