หากจะพูดถึงรถยนต์ที่มีมาตรฐานการผลิตระดับโลกที่มีความหรูหรามีความโดดเด่นและมีเอกลักษณ์เฉพาะด้วยการประกอบด้วยมือทั้งคัน และมีกระบวนการในการบริหารงานที่อยู่ในระดับโลกจากเมือง Crewe ประเทศอังกฤษแล้วก็คงจะหนีไม่พ้นชื่อของรถยนต์อย่าง BENTLEY อย่างแน่นอน
ต้นกำเนิด BENTLEY
ต้นกำเนิดของรถยนต์อย่าง BENTLEY นั้น เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1931 โดยWalter Owen Bentley หนึ่งในสองพี่น้องตระกูล Bentley ที่เป็นผู้ก่อตั้และผลิตรถยนต์ยี่ห้อนี้ขึ้นคันแรกของโลก แต่ถึงแม้ว่ารถยี่ห้อ Bentley จะมีชื่อเสียงรู้จักกันไปทั่วโลก แต่ทางด้านบริหารกิจการก็ยังถือว่ายังไม่ประสบความสำเร็จมากนัก เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงทางการบริหารและเปลี่ยนถ่ายรับช่วงต่อกิจการอีกหลายครั้งจากบริษัทชั้นนำไม่ว่าจะเป็นบริษัท Vickers Plc, บริษัท Rolls -Royce และVolkswagen จนกระทั่งปี ปี 2012 ตลาดรถยนต์ Bentley ได้มีการกระจายไปสู่ดีลเลอร์อื่น ๆ ไม่ใช่แค่เพียง Volkswagen จนทำให้มีแนวโน้มของยอดขายที่เพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะในประเทศจีน
ความน่าสนใจอยู่ที่เอกลักษณ์เฉพาะตัว
ถึงแม้ว่าในปัจจุบัน รถยนต์อย่าง BENTLEY จะมีอะไหล่บางชิ้นส่วนที่นำเข้าจากเมืองDRESDEN ประเทศเยอรมัน แต่ BENTLEY ก็ยังคงเอกลักษณ์ความหรูหราแบบเฉพาะตัวเอาไว้ได้เป็นอย่างดี นั่นคือทางด้านกระบวนการผลิตที่ยังคงความประณีตสไตล์อังกฤษที่ถูกดีไซน์ออกมาแบบเฉพาะตัวด้วยการใช้มือในการประกอบนั่นเอง นอกจากนี้ BENTELY ยังมีการออกรถยนต์รุ่นพิเศษที่มีลักษณะเฉพาะสำหรับผู้เป็นเจ้าของอย่างรุ่น CONTINENTAL ออกมาเพื่อสร้างประวัติศาสตร์ของรถยนต์ส่วนตัวที่มีเอกลักษณ์เฉพาะอย่างแท้จริงตามความต้องการของแต่ละบุคคลจนทำให้กลายเป็นรถยนต์ที่มีคนแค่ 1% จากทั่วมุมโลกเท่านั้นที่ได้ครอบครองเป็นเจ้าของ
ก้าวต่อไปของ BENTLEY บนโลกดิจิทัล
หากจะเปรียบรถยนต์อย่าง BENTLEY หลายคนก็คงคิดว่ารถยนต์ที่มีความคลาสสิคและประกอบด้วยมืออย่างBENTLEY นั้นจะมีความทันสมัยหรือไม่ เมื่ออะไรๆ บนโลกนี้ก็ล้วนมุ่งหน้าเข้าหาเทคโนโลยีกันแทบทั้งนั้นก็ขอบอกเลยว่าสำหรับยุคดิจิตัลนี้ BENTLEY ก็ยังคงดีไซน์ เอกลักษณ์ และความคลาสสิคที่เหนือระดับ ดูดี แบบผู้ดีอังกฤษไว้รวมถึงบางรุ่นยังสามารถสั่งทำออกแบบทั้งตัวรถได้ตามที่ต้องการทั้งหมดแต่ทางด้านของเครื่องยนต์นั้นได้มีการปรับตัวเครื่องยนต์เดิมให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางเทคโนยีมากขึ้นด้วยเครื่องยนต์แบบ W12 ทวินแคม 48 วาล์ว ขนาด 6 ลิตร จึงทำให้สามารถเพิ่มอัตราการขับเคลื่อนแบบเดิมเป็น 567 แรงม้า และสามารถทำความเร็วจาก0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 4.6 วินาที และ 10 วินาที สำหรับการไต่ไปถึง 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง เรียกว่าเป็นผสมผสานกันระหว่างความมีเอกลักษณ์กับเทคโนโลยีได้อย่างสมบูรณ์แบบและไม่ตกยุครวมถึงมีการเปลี่ยนแผงมาตรวัดเป็นรูปแบบใหม่ให้มีความเป็นดิจิตัลมากขึ้นอีกด้วย
