มาสิ ชวนปลูก! ต้นไม้ ไทยปลูกง่าย บำบัดความเครียด

โดย

19/09/2022

สมัครรถแลกเงินโปรโมชั่น แจกฟรี Voucher Lazada

เรื่องของความเครียด เรื่องของอารมณ์ความรู้สึกเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับตัวของแต่ละบุคคลเลยก็ว่าได้ เพราะเรื่องของความอ่อนไหวทางอารมณ์และความคิดของเราแต่ละคนนั้นย่อมที่จะมีความแตกต่างกันตามสภาพการเรียนรู้ การศึกษา สังคม และสิ่งแวดล้อมที่เป็นตัวหล่อหลอมให้เกิดเป็นคนคนหนึ่งขึ้นมาได้ ดังนั้นแล้ว เมื่อใดก็ตามที่เรานั้นที่จะมีความเครียด ความวิตกกังวล หรือความไม่สบายใจต่าง ๆ ยารักษาโรคทางใจที่ดีที่สุดก็เเห็นว่าจะเป็นนในตัวของเราเองด้วยซ้ำ เราต้องมีความเข้าใจ ใส่ใจ ถึงตัวเราเองให้ได้ก่อนเสมอ เราจึงจะพาตัวเราให้ไปถึงทางออกของปัญหานั้น ๆ ได้ ดังนั้นแล้ว เรื่องของการจัดการ การดูแลรักษา กับสภาพจิตใจของเราให้แข็งแรงอยู่เสมอ จึงเป็นเรื่องที่ควรทำอย่างยิ่ง วันนี้ มาสิ จึงได้หยิบเอาอีกหนึ่งทางเลือกดี ๆ ที่สามารถเป็นตัวช่วยในการบำบัดความเครียดเบื้องต้นได้กับตัวเองอย่าง การปลูก ต้นไม้ สักต้น ซึ่งจะสามารถช่วยบำบัดความเครียดได้อย่างไรบ้างนั้น ต้องตาม มาสิ ดูกัน

รวม ต้นไม้ คลายเครียด ปลูกง่าย บำบัดอารมณ์เลิศ

ต้นไม้ไทย นอกจากขึ้นชื่อเรื่องของความหอม ความสวยความงามแล้วนั้น เรื่องสรรพคุณหรือคุณค่าทางยาก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สร้างชื่อให้กับต้นไม้ไทยของเราด้วย แต่ใช่ว่าจะสรรพคุณหรือคุณค่าทางยาที่ใช้ในการอุปโภค บริโภคแต่เพียงเท่านั้น ที่สร้างคุณประโยชน์ให้กับผู้ปลูกแต่เพียงเท่านั้น ทราบหรือไม่ว่า แค่เพียงแค่เราเลือกปลูกก็ถือได้ว่าช่วยคลายเครียดกันได้แล้ว วันนี้ มาสิ จึงได้ขนเอากับ 33 ต้นไม้ไทย ที่ปลูกง่าย สรรพคุณเลิศ พร้อมช่วยบำบัดความเครียดได้ จะมีต้นไม้ไหนที่น่าสนใจบ้างนั้น ไปดูกันเลย

1.มะลิ

ดอกไม้สีขาวยอดนิยมของไทยอย่าง มะลิไทย ที่มีความโดดเด่นด้วยกลิ่นหอมหวาน ยากที่จะหากลิ่นดอกไม้ใดมาเทียบได้ ด้วยความที่มีฤทธิ์ที่ช่วยในการทำความสะอาดอารมณ์ความรู้สึก และสร้างความกระปรี้กระเปร่าให้กับร่างกาย กลิ่นของดอกมลิจะช่วยในคลื่นเบต้า (คลื่นในสมองสำหรับการใช้ชีวิตประจำวัน) ตื่นตัวดีขึ้น เพียงแค่การปลูกกดอกมะลิที่หอม เก็บดอกมะลิ มาลอยน้ำ หรือวางในถ้วยเล็กประดับบ้าน เพียงเท่านี้ ความหอมของดอกมะลิจะช่วยลดอารมณ์ซึมเศร้า และคลายความวิตกกังวลได้

วิธีการปลูก

การปลูกมะลิในบ้านสามารถปลูกได้ทั้งในดินและในกระถาง หลังจากปักชำจนรากงอกและได้รากที่แข็งแรงดีแล้ว เราสามารถย้ายมะลิไปยังบริเวณที่ต้องการปลูกได้ทันที ซึ่งวิธีการปลูกในดินเพื่อประดับบริเวณบ้านก็คือ ขุดหลุมขนาด 30 x 30 x 30 จากนั้นรองก้นหลุมและผสมดินปลูกด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักและดินร่วนโดยใช้อัตราส่วน 1 : 1 ส่วนการปลูกมะลิในกระถางนั้นให้ใช้กระถางขนาด 8 – 14 นิ้ว จากนั้นผสมดินปลูกโดยใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักผสมดินร่วนในอัตราส่วน 1 : 1 และควรเปลี่ยนดินใหม่ทุกปีและเปลี่ยนกระถางปีละครั้งด้วย

วิธีการดูแลรรักษา

แม้ว่าการปลูกดอกมะลิจะไม่มีขั้นตอนยุ่งยาก แต่มะลิก็ยังต้องการการดูแลที่เหมาะสม ดังนี้

น้ำ : มะลิปลูกในดินให้เรารดน้ำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 – 2 ครั้งหรือเมื่อดินแห้ง ส่วนมะลิที่ปลูกในกระถางต้องรดน้ำให้ถี่ขึ้นโดยให้ดินชุ่มอยู่เสมอแต่ไม่แฉะเพื่อป้องกันรากเน่า
ปักกิ่งไม้กันล้ม : สำหรับต้นมะลิที่ยังอยู่ในช่วง 3 สัปดาห์แรก – 1 เดือนควรปักไม้หลักเพื่อกันล้มและให้มะลิเป็นพุ่ม ได้ทรงสวย
แสงแดด : มะลิต้องการแสงแดดรำไรประมาณ 6 ชั่วโมงต่อวันหรือหากใครปลูกกลางแจ้ง สามารถปลูกมะลิในบริเวณที่แสงแดดส่องถึงประมาณ 2 – 4 ชั่วโมงต่อวันได้เช่นกัน
ดินและปุ๋ย : ดินปลูกมะลิที่ดีควรผสมปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกกับดินร่วนในอัตราส่วน 1 : 1 หากปลูกลงดินให้ปุ๋ยทุก 6 เดือน ส่วนใครปลูกในกระถางควรเปลี่ยนดินและเปลี่ยนกระถางใหม่ทุกเดือนเพื่อป้องกันดินเสื่อมสภาพและป้องกันรากแน่นจนเกินไป

………………………………………………………………………………………………

2.โหระพา

ถัดมาที่ลำดับถัดไปอย่าง โหระพา ผักสมุนไพรคู่ครัวไทย ไม่ว่าจะต้ม ผัด แกง ทอด บอกได้เลยว่าคิดอะไรไม่ออกโหระพาเอาอยู่ อีกทั้งยังปลูกง่าย โตตเร็ว เพียงแค่นำกิ่งที่ใช้แล้วมาปักลงดินไว้ รับรองได้รอดแน่นอน นอกจากนี้ในใบโหระพา 1 ขีด จะมีเบต้าแคโรทีนสูงถึง 452.16 ไมโครกรัม ซึ่งสามารถช่วยป้องกันโรคหัวใจ และยังมีวิตามินและแร่ธาตุอื่น ๆ ด้วย สารประกอบที่เรียกว่า linalool ซึ่งพบว่าช่วยลดการทำงานของยีนบางตัวที่เข้าสู่ภาวะเครียดเกินไป ช่วยกระตุ้นจิตใจให้มีพลังเพิ่มความสดชื่นคลายความอ่อนล้าลดความเครียดและเพิ่มสมาธิในการทํางาน ช่วยลดอาการซึมเศร้า สามารถใช้ฆ่ายุง ไร และแมลงได้

วิธีปลูกโหระพา

โหระพาเป็นพืชที่ปลูกง่าย ปลูกครั้งเดียวสามารถเก็บเกี่ยวได้ 1-2 ปี โหระพาจะขึ้นได้ดีในดินร่วนซุยที่มีความอุดมสมบูรณ์และระบายน้ำได้ดีเป็นพิเศษ เหมาะจะปลูกในตอนเย็น ซึ่งต้องทำการเตรียมขุดดินให้ลึกประมาณ 20-25 เซนติเมตร ย่อยให้ละเอียดพร้อมเก็บเศษวัชพืชออกให้เรียบร้อย จากนั้นก็ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 7-10 วัน แล้วใส่ปุ๋ยคอก/ปุ๋ยหมักและปุ๋ยเคมีลงไปให้ทั่ว คลุกให้เข้ากัน เสร็จแล้วก็ลงมือปลูก โดยนิยม 2 วิธี ได้แก่

การเพาะกล้าและย้ายปลูก : หว่านเมล็ดแล้วใช้แกลบหรือฟางคลุมพร้อมรดน้ำตามทันที จากนั้นก็หมั่นรดน้ำทุกเช้า-เย็น จนมีอายุ 20-25 วัน จึงทำการถอนกล้าแล้วเด็ดยอดเพื่อย้ายปลูก โดยถ้าปลูกในแปลงควรเว้นระยะให้ห่างประมาณ 20-30 เซนติเมตร ถ้าปลูกในกระถางก็กระถางละ 1-2 ต้น
การปักชำโหระพา : ตัดกิ่งโหระพาที่โตเต็มที่หรือยาวประมาณ 5-10 เซนติเมตร เด็ดใบออกและเหลือไว้เพียงบางส่วน นำไปปักชำลงในแปลงหรือกระถาง จากนั้นใช้หญ้าแห้งหรือฟางคลุมแล้วรดน้ำตามทันที

วิธีดูแลและเก็บเกี่ยว

โหระพาเป็นพืชที่ดูแลง่าย โตเร็ว ชอบความชื้นสูงและสม่ำเสมอ แดดไม่จัด จึงต้องคอยรดน้ำทุกวัน แต่อย่าปล่อยให้ท่วมขังจนเกินไป อีกทั้งในช่วงแรกควรพรวนดินและกำจัดศัตรูพืชออกทุก 1-2 สัปดาห์ โดยระวังไม่ให้กระทบต้นและราก
สำหรับการเก็บเกี่ยว ต้นโหระพาสามารถเก็บเกี่ยวได้หลังจากปลูกประมาณ 30-35 วัน โดยใช้มีดคม ๆ ตัดกิ่งให้ห่างจากยอดลงมาประมาณ 10-15 เซนติเมตร สามารถเก็บเกี่ยวได้ทุก ๆ 15-20 วัน ไปจนถึงอายุ 7-8 เดือน

………………………………………………………………………………………………

3.สาระแหน่ หรือ มินต์

ถัดมาที่อีกหนึ่งสมุนไพรคู่ครัวไทยอย่างสะระแหน่ โดยงานวิจัยมากมายยอมรับว่า กลิ่นจากใบมินต์หรือเมนอลชนิดต่างๆ ทั้งสเปียร์มินต์ เปเปอร์มินต์ หรือสะระแหน่ ช่วยเพิ่มความจํา กระตุ้นให้รู้สึกตื่นตัว ไม่ง่วงระหว่างทำงาน ช่วยให้รู้สึกสดชื่น คลายความอ่อนล้าได้ดี กลิ่นสดชื่นของเปปเปอร์มินต์ให้ผลแทบจะทันทีทันใด พิสูจน์ได้จากความรู้สึกสดชื่นตื่นจากความง่วงหลังจากใช้ยาสีฟันกลิ่นเปปเปอร์มินต์ ความมหัศจรรย์ของมินต์ทําให้มันกลายเป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ความเย็นหลากหลายชนิดทั้งอุปโภคและบริโภค เนื่องด้วยสารประกอบทางเคมีของเมนทอลจะเล่นกลกับตัวรับความเย็นของผิว แล้วส่งผ่านระบบประสาทไปยังสมองว่า เรากําลังสัมผัสกับบางอย่างที่เย็นมาก ๆ ทั้งที่อุณหภูมิผิวไม่ได้เปลี่ยนไป ถือเป็นข้อดีของเมนทอลในสกินแคร์ที่ทําให้รู้สึกเย็นได้โดยไม่ต้องทําร้ายผิวด้วยความเย็น ชามินต์จะช่วยทําให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นไม่เกิดอาการอ่อนเพลียระหว่างวันหากต้องการเพิ่มรสชาติให้กลมกล่อมสามารถใส่น้ำผึ้งลงไปได้เล็กน้อย ลงปลูกมินต์สักกระถางทุกครั้งที่รดน้ำต้นไม้หรือเอามือไปลูบก็จะได้กลิ่นติดมือขึ้นมาทันที

วิธีการปลูกสะระแหน่

เลือกกิ่งสะระแหน่ที่ไม่แก่หรืออ่อนเกินไป ปักจิ้มลงไปในแปลงเพาะชำทหรือแปลงปลูก ปักให้กิ่งเอนทาบกับดิน รดน้ำให้ชุ่มแต่อย่าให้ ถึง กับแฉะแล้วโรยแกลบทับ กลบดินเพื่อรักษาความชุ่มชื้นให้หน้าดิน และเมื่อแกลบผุก็จะกลายเป็นปุ๋ยต่อไป ประมาณ 4-5 วันก็จะ แตก ใบ แตกยอดเลื้อยคลุมดิน ต้นสะระแหน่ชอบดินร่วนซุยที่ระบายน้ำได้ดี และต้องการแสงสว่าง แต่ไม่ต้องการแดดที่ร้อนจัดจน เกินไป จะปลูกในที่ร่มรำไรหรือในที่แดดก็ได้

การดูแลรักษา

เมื่อสะระแหน่เจริญเติบโตจนเก็บยอดไปได้แล้ว ควรเติมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักให้บ้าง ไม่ควรใส่ปุ๋ยเคมี เพราะถ้าใส่มากเกินไปจะทำให้ ต้น สะระ แหน่เหี่ยวตาย การพรวนดินให้ต้นสะระแหน่ควรทำด้วยความระมัดระวัง เพราะสะระแหน่เป็นพืชที่มีระบบรากตื้น แผ่กระจาย อยู่ตามหน้าดิน

………………………………………………………………………………………………

ขอขอบคุณข้อมูล : บ้านและสวน

เรียกได้ว่า ต้นไม้ ไทยไม่แพ้ชาติใดในโลกอีกเหมือนกัน เพราะไม่เพียงแค่กลิ่นที่หอม ดอกที่สวยงาม แต่สรรพคุณแลแะคุณค่าทางยาก็จัดเต็มอัดแน่นไปทั่วทุกอนูของต้นเลยด้วย อีกทั้งยังปลูกง่าย ดูแลรักษษง่าย สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลายด้วย จึงไม่แปลกที่คนบอกเครียดนักก็ให้ปลูกต้นไม้ดู รับรองได้เลยว่าช่วยผ่อนคลายได้อย่างแน่นอน

และอย่างได้ที่กล่าวไปข้างต้น เรื่องของความเครียดความรู้สึกเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลยากที่ใครจะเข้าใจกันได้อย่างครบถ้วนในทุกมิติ ดังนั้น เมื่อไม่มีใครที่เข้าใจเราได้ เราก็ต้องหมั่นดูแลรักษาสุขภาพจิตสุขภาพใจของเราให้แข็งแรงได้เต็มที่ แม้จะไม่ใช่สุขภาพแต่ความเจ็บป่วยทางใจก็นำมาซึ่งโรคทางกายได้ ดังนั้น เราต้องรักษาให้ดี นอกจากนี้ แม้ว่าโรคทางใจแม้ว่าเราจะดูแแลรักษษได้ครบถ้วนเต็มที่แล้วก็ตาม แต่โรคทางเราก็ต้องดูแลรักษากันอย่างเต็มที่ด้วย ดังนั้นแล้ว เรามาเสริมสร้างความคุ้มครองที่ดีให้กับความเจ็บป่วยทางกายด้วย ประสุขภาพ จากเอ็ทน่าประกันภัย จะมีความน่าสนใจ หรือรายละเอียดความคุ้มครองอย่างไรบ้างนั้น ไปติดตามกัน

ประกันสุขภาพ แผนเอ็กซ์ตร้าแคร์ ( Extra Care )

สำหรับ ประกันสุขภาพ เอ็ทน่า เอ็กซ์ตร้าแคร์ เหมาะสำหรับผู้ที่มีประกันสุขภาพ ประกันสังคม หรือสวัสดิการจากบริษัทอยู่แล้ว แต่อาจมีวงเงินความคุ้มครองไม่เพียงพอ แผนประกันนี้จึงช่วยเติมเต็มวงเงินความคุ้มครองจากสวัสดิการที่มีอยู่ ช่วยชดเชยค่ารักษาพยาบาลส่วนเกินอีก 80% โดยไม่เกินผลประโยชน์สูงสุดในแต่ละแผนที่กำหนดไว้ต่อการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บในแต่ละครั้ง โดยมีรายละเอียด ดังนี้

ค่ารักษาพยาบาลกรณีผู้ป่วยใน( ต่อการเข้าพักรักษาตัวครั้งใดครั้งหนึ่ง ) 20,000 บาท
ความคุ้มครองเพิ่มเติมอีก 80% ของค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลในส่วนที่เกินจากความรับผิดส่วนแรก ครอบคลุมในส่วนค่ารักษาพยาบาลทั่วไป ค่าธรรมเนียมแพทย์ผ่าตัดและวิสัญญีแพทย์ ค่าห้องผ่าตัด ค่าแพทย์เยี่ยมไข้ ค่าธรรมเนียมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญพิเศษสูงสุด 600,000 บาท
ค่าห้องผู้ป่วยปกติ สูงสุดต่อวัน 4,000 บาท
ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล( อบ.2* ) กรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะสายตา การรับฟังเสียง การพูดออกเสียง และทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง รายละ 1,000 บาท
เบี้ยประกันเริ่มต้น 3,172 บาท
* อบ.2 คือ ประเภทความคุ้มครองจากกรมธรรม์ประกันภัยที่มีรายละเอียดความคุ้มครองคือ (1) การเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ/สายตา การทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง, (2) การทุพพลภาพชั่วคราวสิ้นเชิง, (3) การทุพพลภาพชั่วคราวบางส่วน, (4) การรักษาพยาบาล และ (5) การสูญเสียนิ้ว การสูญเสียการรับฟังเสียง/การพูดออกเสียงและการทุพพลภาพถาวรบางส่วน